วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำตาล

ข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำตาล
 
 

* น้ำตาลเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ ?
     
ความจริงคือ...ฟันผุเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหารโดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้งบริเวณพื้นผิวฟัน น้ำตาลเป็นสาเหตุหนึ่งแต่จะทำให้ฟันผุก็ต่อเมื่อเปลี่ยนเป็นแบคทีเรีย
* น้ำตาลทำให้อ้วน ?
    
 ความจริงคือ...ผลทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าคนอ้วนหลายคนไม่ได้ทานน้ำตาลมากแต่กลับเป็นคนผอม ยิ่งไปกว่านั้นการทานอาหารประเภทแป้งจะช่วยระงับความอยากอาหารเป็นอย่างดี
* น้ำตาลเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ?     ความจริงคือ...นักวิจัยพบว่าน้ำตาลไม่ใช่สาเหตุดังกล่าว เพราะซูโครสและคาร์โบไฮเดรตทำงานแยกออกจากสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ
* ให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์?
    
 ความจริงคือ..น้ำตาลให้สารอาหารเช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรต 100% และช่วยส่งเสริมให้สารอาหารต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
* น้ำตาลทำให้อ้วน ?
     
ความจริงคือ...จริงที่น้ำตาลและแอลกอฮอล์จะให้ปริมาณแคลอรีที่สูงกว่าสารอาหารทั่วไป แต่ความอ้วนเกิดจากการกิน (หลาย ๆ อย่าง) ที่มากเกินไป และมีแคลอรีเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ

From : Administrator Thaisugarmill

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ผิวสวยเปล่ง ปลั่งด้วยวิธีง่ายๆ

ผิวสวยเปล่ง ปลั่งด้วยวิธีง่ายๆ
 

 

  ลองใช้ส่วนผสมต่อไปนี้ที่หาได้ในบ้านของคุณเอง เพื่อเป็นเจ้าของผิวสวยเปล่งปลั่งอย่างที่คุณปรารถนา
         1. น้ำตาลทราย ใช้น้ำตาลทรายผสมกับน้ำมันมะกอก เพื่อขัดผิว เกล็ดน้ำตาลทรายจะช่วยขัดลอกเซลล์ผิวเก่าและทำให้ผิวนุ่มขึ้น ขณะที่น้ำมันมะกอกจะทำให้ผิวชุ่มชื่น

         2. ข้าวโอ๊ตและนม ผสมข้าวโอ๊ตกับนมแบบไม่พร่องมันเนยทาให้ทั่วใบหน้าและปล่อยให้แห้งราว 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

         3. โยเกิร์ต ทาโยเกิร์ตแบบธรรมชาติลงให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ไม่เพียงแต่ผิวจะรู้สึกสดชื่น มันยังทำให้ผิวของคุณนุ่มนวลและเรียบลื่นอีกด้วย

         4. กล้วยหอม บดให้ละเอียดและผสมกับนมสด ทาทั่วใบหน้าและทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น แล้วรอดูผิวที่เปล่งปลั่งได้เลย

         5. น้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวคุณจะนุ่มนวลและเปล่งปลั่ง

         6. ไข่ ผสมไข่ดิบกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

         7. มะละกอ บดละเอียดแล้วพอกลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก

         8. แป้งข้าวโพด ผสมกับไข่ขาวและทาทั่วใบหน้าเมื่อใบหน้าแห้ง ซึ่งใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง ใช้นิ้วจุ่มน้ำอุ่นและนวดให้ทั่ว ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด



ขอขอบคุณที่มาจาก Lisa

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องน้ำตาล

 



ว่าด้วยเรื่องน้ำตาล

น้ำตาล ถ้าพูดถึงน้ำตาล ทุกคนต้องนึกถึงน้ำตาลเม็ดขาวๆ เป็นถุงๆ จริงๆแล้วน้ำตาลมีหลายแบบโดยแบ่งตามรสชาติ,ลักษณะของน้ำตาล,รสสัมผัส ซึ่งต้องดูว่าจะใช้น้ำตาลแบบไหนให้เหมาะกับอาหารหรือของหวานแบบไหน

น้ำตาลแบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น
  • น้ำตาลทราย (Granulated Sugar) เป็นน้ำตาลที่เราพบเห็นและใช้ประจำ ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีขาว นิยมนำไปใช้ในการทำอาหารต่างๆ มีแบบที่ทำเป็นก้อน 
  • น้ำตาลผง (Powdered Sugar) เป็นน้ำตาลที่บดละเอียด และนำไปผสมกับแป้งข้าวโพด นิยมใช้เป็น น้ำตาลฟรอสติ้ง ,น้ำตาลไอซิ่ง (icing)
  • Raw Sugar เป็นน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด กว่าการทำน้ำตาลชนิดอื่นๆ เช่น มอลลาส (molasses)
  • น้ำตาลทรายแดง (Brown Sugar) ลักษณะน้ำตาลเป็นสีน้ำตาลแดง และมีความชื้นมากกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ ซึ่งได้สีน้ำตาลมาจากมอลลาส แค่จะเป็นสีน้ำตาลอ่อนกว่า
  • Coarse Sugar. ลํกษณะเป็นน้ำตาลที่มีขนาดเม็ดกลมใหญ่ เหมาะแก่การนำไปตกแต่ง
  • น้ำตาลทรายละเอียด (Super Refined Sugar). ลักษระเป็นผลึกน้ำตาลที่มีขนาดเล็กมาก แต่ใช้ได้เหมือนน้ำตาลทราย แต่ละลายได้เร็ว
  • น้ำตาลเทียม,น้ำตาลลดความหวาน (Artificial/Reduced Sugar Sweeteners) เป็นน้ำตาลที่สังเคราะห์เพื่อลดความหวาน เช่น Aspartame, sucralose, saccharin sugar alcohol and Stevia

บทความโดย FoodieTaste

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สครับน้ำตาลทรายแดงเพื่อผิวอ่อนเยาว์

สครับน้ำตาลทรายแดงเพื่อผิวอ่อนเยาว์ (New!)
 
 

ในกลุ่มคนที่รักสวยรักงามนั้น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า การขัดผิวเป็นหนึ่งในสูตรลัดที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีขึ้นได้ แม้จะมีครีมสครับออกมาให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ สาวๆ หลายคนก็จฉลาดที่จะเลือกใช้พืชพรรณธรรมชาติตามแบบฉบับโบราณมาผสมเป็นสครับสูตรเฉพาะของตัวเอง เพราะนอกจากจะได้ความสดใหม่แล้ว ยังปลอดภัยจากอาการแพ้สารเคมี

วันนี้เราขอแนะนำ “สครับน้ำตาลทรายแดง” หนึ่งในสครับไม่กี่ชนิดที่สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย เพราะอ่อนโยนแม้ผิวที่บอบบางหรือแพ้ง่าย
สวยหวานแบบน้ำตาลทรายแดง
สำหรับประโยชน์ต่อผิวพรรณ เห็นหวานๆอย่างนี้ แต่ตัวน้ำตาลทรายแดงเองอุดมไปด้วยกรดผลไม้ช่วยผลัดเซลล์ผิว มีคุณสมบัติ ดูดสิ่งสกปรกและน้ำมันจากรูขุมขนได้ดี สามารถขัดได้เป็นประจำโดยไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ทั้งยังทำให้สีผิวอ่อนลง ดูผุดผ่องน่าทะนุถนอม เกร็ดละเอียดของน้ำตาลทรายแดง ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้อย่างลึกล้ำ ช่วยในระบบน้ำเหลืองหมุนเวียนได้ดี จึงช่วยลบเลือนจุดด่างดำ ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม เนียนละเอียดขึ้น แลดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล
หากขัดเป็นประจำจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหยาบกร้านตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นบริเวณหัวเข่า ข้อศอก และตาตุ่ม ให้นุ่มเนียนขึ้นหลังจากใช้เพียงไม่กี่ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังป้องกันความหยาบกร้านไม่ให้กลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้ด้วย น้ำตาลทรายแดงเหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้งถึงแห้งมาก อ่อนโยนสามารถใช้ได้ทุกวันอย่างปลอดภัย
วิธีทำสครับสำหรับขัดผิวกาย 
ส่วนผสม

น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย
น้ำมันอัลมอนด์ ½ ถ้วย
วิตามินอี ชนิดเหลว 1 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ผสมน้ำตาลทรายแดง น้ำมันอัลมอนด์และวิตามินอี คนให้เข้ากัน ถ้าผิวแห้งมากให้เติมน้ำผึ้งลงไปด้วย
ปั้นสวย อาบน้ำให้สะอาด เช็ดตัวพอหมาด นำมาขัดบนผิวหมาดๆ สัก 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น 

ที่มา : baanshortawan.net

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"น้ำตาล"ช่วยลดอาการโกรธ (New!)

"น้ำตาล"ช่วยลดอาการโกรธ (New!)
 
 

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยผลวิจัยที่ว่า การกินน้ำตาลจะช่วยให้คนที่มีอารมณ์โกรธจัดลดความโกรธลงได้รวดเร็วกว่าการ ผ่อนคลายอารมณ์โกรธโดยไม่ได้กินน้ำตาลหรือของหวานที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ขณะที่น้ำตาลเทียมเช่น แอสปาแตม ที่เป็นสารสังเคราะห์นั้นหมดสิทธิ์ที่จะช่วยให้คนหายโกรธได้เร็วขึ้น
ปัจจัยสำคัญคือ "น้ำตาลกลูโคส" ในน้ำตาลธรรมชาตินั้นสามารถให้พลังงานแก่สมองมนุษย์ในช่วงเวลาที่ต้องการ พลังงานสำหรับการควบคุมอารมณ์โกรธได้นั่นเอง

ปกติแล้ว สมองของผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 1.3 กิโลกรัมนั้นจะเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลกลูโคสมากถึง 25% ของปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำตาลกลูโคสทั่วร่างกาย และใช้ออกซิเจนคิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณการใช้ออกซิเจนของอวัยวะทั้งหมด แต่เมื่อสมองต้องทำกิจกรรมต่าง รวมทั้งการแสดงและควบคุมอารมณ์โกรธ สมองจะต้องการพลังงานมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะต้องสั่งการอวัยวะจำนวนมากให้ทำงานในเวลาเดียวกัน

สังเกตุได้ง่ายๆ เมื่อมีอารมณ์โกรธจะเกิดอาการ "ปรี๊ด" ขึ้นมาที่สมอง ก่อนที่สมองจะสั่งให้ "เหวี่ยง" คนที่ทำให้โกรธ การหายใจจะเร็วขึ้น หน้าจะแดง เพราะเลือดสูบฉีดเข้าไปยังส่วนบนของร่างกาย และเมื่อหายโกรธแล้วจะรู้สึกอ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายนำกลูโคสจำนวนมากไปใช้ในช่วงเวลาที่เกิดอาการ "เหวี่ยง"

ศาสตราจารย์ แบรด บุชแมน แห่งมหาวิทยาลัยโอไฮโอ เปิดเผยว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ได้จัดกลุ่มทดลองเป็นอาสาสมัครสองกลุ่มที่ได้ รับประทานน้ำมะนาวผสมน้ำเชื่อม กับอีกกลุ่มหนึ่งได้รับเพียงน้ำมะนาวผสมน้ำตาลเทียมเพื่อให้รสหวาน ก่อนที่จะนำเข้าห้องทดลองที่มีการกำหนดเงื่อนไขว่าผู้ทดลองทั้งหมดต้องกด ปุ่มที่มีแสงวาบขึ้นมาให้ได้เร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษด้วยการฟังเสียงดังเท่าๆ กับเครื่องบินเจ็ตเร่งเครื่องระดับสูงสุด พบว่าอาสาสมัครที่รับประทานน้ำมะนาวผสมน้ำตาลธรรมชาติสามารถลดอารมณ์โกรธได้ เร็วกว่าอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับน้ำตาลเทียมอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกันผลการศึกษาอีกชุดหนึ่งของ ศ.บุชแมนกับทีมงานแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานระดับรุนแรงมีการลดอารมณ์โกรธได้ดีกว่าบุคคลปกติทั่ว ไป เนื่องจากผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานจะมีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าคนปกติ ที่น้ำตาลส่วนใหญ่จะถูกกักเก็บไว้ในตับเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณเกิดอาการโกรธ ลองรับประทานน้ำตาลสักหนึ่งช้อนชาเพื่อช่วยให้คุณควบคุมอาการโกรธได้ดีขึ้น แต่หากควบคุมไม่ให้เกิดอาการโกรธขึ้นมาได้ ยิ่งเป็นการดีขึ้นไปอีก เพราะไม่ต้องเปลืองเวลาอันมีค่าของสมองในการทำสิ่งที่ดีๆ ให้แก่ชีวิตแล้ว ยังไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อน้ำตาลมารับประทานอีก 

ที่มา : Thaifwd.com

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

น้ำตาลทรายสารพัดประโยชน์ (New!)

น้ำตาลทรายสารพัดประโยชน์ (New!)
 
 

น้ำตาลทรายหวานอร่อยและยังมีประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ที่ช่วยให้ชีวิตในบ้านของคุณง่ายขึ้นอีกด้วย

ทำความสะอาดมือ : น้ำตาลเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการขัดลอก เพราะฉะนั้นถ้ามือคุณเปื้อนคราบสกปรกโดยเฉพาะคราบมันที่ล้างออกได้ยากทั้งหลาย ลองใช้น้ำตาลทรายถูมือ มันจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างหมดจด

 ดักมด : ต้มน้ำตาลกับน้ำเล็กน้อยจนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวๆ แล้วเทน้ำเชื่อมใส่ลงในขวดปากกว้างหรือชาม จากนั้นวางทิ้งไว้ในที่เปิดโล่ง มันจะดึงดูดมดเข้ามาลิ้มรสความหวาน แล้วก็จะตกลงไป

บรรเทาอาการลิ้นพอง : ถ้าคุณบังเอิญกินอาหารร้อนๆ หรือเครื่องดื่มร้อนจัดเข้าไปจนรู้สึกเหมือนลิ้นแทบพอง ลองโรยน้ำตาลทรายลงบนลิ้นแล้วอมเอาไว้ชั่วคราว อาการปวดแสบปวดร้อนจะดีขึ้น

ฆ่าแมลงสาบ :ผสมน้ำตาลทรายกับผงฟูในปริมาณเท่าๆ กัน น้ำตาลทรายจะเรียกให้แมลงสาบเข้ามากิน แล้วผงฟูก็จะทำให้แมลงสาบตาย

 จับแมลงวัน : ต้มน้ำครึ่งลิตรกับน้ำตาลทรายและพริกไทย (ราวหนึ่งช้อนชา) แล้วเทใส่ไว้ในชาม มันจะดึงดูดแมลงวันให้เข้ามา แล้วก็จะตกลงไปตายในน้ำ

จุดไฟ : ถ้าคุณมีปัญหาในการติดเตาถ่าน ลองโรยน้ำตาลทรายลงไปสักหยิบมือหนึ่งก่อนจุดไฟ น้ำตาลทรายจะช่วยทำให้ไฟติดได้ง่ายขึ้น

รักษาความสดของบิสกิต : ใส่น้ำตาลทรายเล็กน้อยลงในโหลใส่บิสกิตของคุณ มันจะช่วยดูดซับความชื้นและทำให้บิสกิตคงความกรอบได้ยาวนานกว่า

เค้กสดใหม่ : โรยน้ำตาลทรายเล็กน้อยลงบนเค้กที่ทำเองที่บ้านในขณะที่มันยังร้อนอยู่ เค้กของคุณจะคงความสดใหม่ได้นานขึ้น

ข้อดีของน้ำตาล


การชอบรสหวานนั้นเป็นวิวัฒนาการของความอยู่รอดของมนุษย์เรา ในยุคเก่าอาหารที่มีรสหวานบ่งบอกถึงความปลอดภัย ส่วนอาหารราขมมันจะบอกถึงความเป็นพิษที่แอบแฝงอยู่ แต่เมื่อมาถึงสมัยนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป เพราะมะระเป็นผักขมที่เป็นอาหารที่ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
เวลาเครียดเรามักอยากกินของหวาน เพราะรสหวานที่ลิ้นช่วยกระตุ้นให้หลั่งสารเคมีในสมอง คือ เอนดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและทำให้อารมณ์สงบไม่รุ่มร้อน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซินซินเนติพบว่า เมื่อให้หนูที่ถูกกักบริเวณกินน้ำตาลในปริมาณน้อยๆ ทุกวันจะช่วยลดความเครียดได้ เปรียบเทียบกับหนูที่อยู่ในสภาวะเดียวกันแต่ไม่ได้รับน้ำตาลมีระดับฮอร์โมนเครียด “กลูโคคอร์ติคอยด์” น้อยถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ฮอร์โมนชนิดนี้หากมีมากจะทำให้อ้วนและทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง

ทางเลือกในการกินหวาน

การลดนั้นง่ายกว่าการอด “แต่จำไว้น้ำตาลเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานเท่านั้นที่จะให้ความสุขกับการกินและคุมน้ำหนักได้พร้อมๆ กัน”ปริมาณที่เหมาะสมซึ่งแนะนำสำหรับคนไทยคือไม่ควรกินเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
ที่มา : i-ba.net

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558